Powered By Blogger

ป้ายกำกับ

กลุ่มหนองฉาง 4 ทัศนศึกษาโคราช (2) "รวมเว็บที่เคยใช้ไว้ที่นี่" (1) 10 หลุมดำเรื่องกิน (1) by myself (1) กรรมการเก็บรักษาข้อสอบ (1) การพัฒนาสมอง (1) ขอบคุณค่ะ (จากผู้สมัครสอบ) (1) จะเออร์ลี่จริงหรือ เสียดายนะ (1) จำนวนผู้สมัคร สพม.42 (1) จำนวนผู้เข้าสอบบรรจุครู สพท.อน.2 (1) ทัศนศึกษาวันเด็ก 54 (1) ท่องเทียว"ภูชี้ฟ้า" (1) ธรรมทัศนาจร สุโขทัย พิษณุโลก (1) บุหรี่ สังคมรังเกียจ (1) ผลตรวจร่างกาย (1) ผลสอบบรรจุภาค ก. (1) ฝากคุณครูคนใหม่ โดย ส.กิตติกุล (1) ฝากถึงคุณครูคนใหม่ (3) (1) ฝากเรื่องการใช้ภาษาไทย (1) รวมเรื่องที่เคยเขียนในเว็บ สพท.อน.2 (1) สมัครสอบบรรจุครู (1) สอบผู้ประกาศ 1 (1) สอบผู้ประกาศ 2 (1) สอบผู้ประกาศ 3 (1) สอบผู้ประกาศ 4 (1) อัพเดทบรรจุครูผู้ช่วย สพท.อน.2 (1) โอเน็ตระดับประเทศวิชาใดต่ำสุด (1)

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คุณหนูดี วนิสา เรส นักพัฒนาอัจฉริยภาพทางสมอง

สมองของคนเรามีน้ำหนักเท่ากับร้อยละ 2 ของน้ำหนักร่างกายโดยสมองใช้ออกซิเจนร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ของการใช้ออกซิเจนในร่างกายทั้งหมด การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม


อัจฉริยภาพ มี 8 ด้านที่ว่า ได้แก่

* อัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร

* อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว

* อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์

* อัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์

* อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจในตนเอง

* อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจผู้อื่นและมนุษยสัมพันธ์

* อัจฉริยภาพด้านธรรมชาติ และอัจฉริยภาพด้านดนตรี

อัจฉริยภาพของคนไม่ได้อยู่ที่เซลล์สมอง ไม่ได้อยู่ที่น้ำหนักสมองและไม่ได้อยู่ที่รอยหยักของสมอง แต่อยู่ที่เส้นใยสมองและไมยีลินหรือไขมันสมองมาห่อหุ้ม เนื่องจากเซลล์สมองตายไปทุกวัน แต่จะมีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ เกิดขึ้นโดยการทำซ้ำๆ กัน

ดังนั้น อัจฉริยภาพสร้างได้โดยการทำซ้ำๆ กันนั่นเอง เช่น หากเล่นเปียโนไม่เป็น แต่ถ้าฝึกทุกวันเป็นเวลา 2 ปี ก็จะเป็นคนใหม่ที่เป็นอัจฉริยภาพด้านเปียโนได้

อย่างไรก็ตาม คนที่มีเส้นใยสมองมากที่สุดไม่ได้เป็นคนที่ฉลาดที่สุดเพราะสมองมีเนื้อที่จำกัดในการเก็บเส้นใยสมอง สมองจึงมีการ "รีดทิ้ง" เส้นใยสมองในส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในเวลานั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าเด็กแรกเกิดมีเส้นใยสมองมากที่สุด เมื่อเทียบกับเด็กคนเดียวกันในอายุ 6 ขวบ และ 14 ปีและยิ่งโตขึ้นเส้นใยสมองยิ่งน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะโง่กว่าเดิม นั่นเป็นเพราะว่าสมองมีการจัดเก็บและมีแบบแผนในการเก็บเส้นใยสมอง


วิธีพัฒนาสมอง

1. จิบน้ำบ่อย ๆ

สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี

คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง

วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที

หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน

ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal

ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ

สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %

ที่มา: อ่านเจอในบล็อคมัลติพลายของเพื่อนๆ คนหนึ่ง แล้วก๊อปปี้ไว้อ่านทีหลัง ต้องขอโทษจริงๆ ที่จำเจ้าของไม่ได้แล้วครับ ถ้าบทความนี้มีประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็ขอให้กรรมดีนั้นได้แก่ผู้เขียน และเพื่อนๆ ที่เอามาเผยแพร่แล้วกันนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อัพเดทการบรรจุครูผู้ช่วย

 
          การบรรจุครูผู้ช่วย สพท.อน.2 ถึงวันนี้มีข้อมูล จำนวนผู้ขึ้นบัญชี จำนวนที่เรียกรอบแรก รอบสอง เรียกถึงลำดับที่เท่าไร ตามตาราง หรือไปดูได้ที่เว็บ รร.บ้านงิ้วงาม




วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ขอบคุณค่ะ (จากผู้สมัครสอบ)

ขอบคุณนะคะคุณครู ขอแทนตัวเองว่าหนูได้ไหมคะ วันที่หนูไปสมัครสอบวันที่ 25 ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันอาทิตย์ หนูรู้สึกขอบคุณ ผอ.นะคะ ที่ทำให้หนูลดความประหม่าในตัวเองลงไปได้ ที่ ผอ.ชวนคุยและตรวจเอกสารหลักฐานไปด้วย ในขณะเดียวกันนั้นหนูคงจะลนมาก ผอ.คงจะดูออก ผอ.คะ ขอบคุณนะคะ ไม่รู้ว่าผอ. ใช้จิตวิทยาหรือว่าเป็นจิตวิญญาณในความเป็นครูในตัวของ ผอ.ก็ไม่รู้ที่ช่วยให้เด็กคนนี้รู้สึกดีๆและประทับใจอย่างบอกไม่ถูก หนูเดินออกจากที่สมัครอย่างมีความสุข ผอ.คะ ที่ผ่านมา หนูว่า ผอ.ต้องเป็นครูที่ดีมากๆแน่ๆเลย เพราะความรู้สึกของหนูไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ได้รับการอบรมสอนสั่งจากครูที่มีจิตใจดี มีความอบอุ่น วันนั้นผอ.ไม่ได้คุยอะไรกับหนูมากมายหรอกค่ะ ก็คุยเรื่องสำเนาบัตรประชาชนของหนูที่มันดูตลกต่างจากตัวจริง ผอ.ค่ะ หนูชื่นชมในตัว ผอ.นะคะ หนูก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกัน สุดท้ายนี้ขอให้ คุณครู(ผอ.)ที่หนูเคารพและครอบครัวมีความสุขในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน สุขภาพแข็งแรง และเป็นตัวอย่างดีๆให้กับเด็กนักเรียนอย่างพวกหนูต่อไปค่ะ

หนูชื่อ ----- (ขอปิด) ----- ค่ะ ยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รู้จักกับท่านค่ะ

โอเน็ตระดับประเทศวิชาใดต่ำสุด

รู้ไหม"โอเน็ต"ระดับประเทศวิชาใดต่ำสุด

ภาษาอังกฤษครับ เฉลี่ย สพฐ.30.20 % เฉลี่ยประเทศ 31.75 % (ป.6)


ตัวเลขนี้บอกอะไรได้บ้าง สำหรับข้าพเจ้าเห็นว่า

1. ทุกระดับไม่ให้ความสำคัญกับวิชานี้อย่างจริงจัง

2. อนาคตของเยาวชน ก็ยังคงอ่อนด้อย ยุ่งยากต่อการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมในระดับสากล เพราะความรู้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษอันเป็นเครื่องมือสำคัญอ่อนแอเกินไป

3. จะโทษใครได้ดีเท่า ผู้กำหนดนโยบาย อย่าโทษหรือโยนความผิดให้ครูผู้สอนโดยลำพังอย่างเด็ดขาด ที่ผ่านมาผิดพลาดมากและหลายครั้งในเรื่องการพัฒนานโยบายด้านภาษาอังกฤษ ไม่ได้ให้ความสำคัญตั้งแต่ระดับประถม ครูที่สอนจำเป็นต้องสอนทั้งที่ไม่มีความรู้ หน่วยงานไม่มีการพัฒนาเขาเหล่านี้นานเท่าไรแล้ว หลักสูตรไม่ชัดเจน ตำรา คู่มือ เครื่องมือ สุดแต่ใครจะถนัด จะไขว่คว้า ไร้ทิศทาง แต่เวลาสอบ(โนเน็ต) กลับใช้ไม้บรรทัดอันเดียวกันในการวัด วิชาอื่นก็ทำนองเดียวกันนี้ เจริญเถอะประเทศไทย

วิชาอื่นก็ใช่ว่าจะดีนัก เฉลี่ยทุกวิชาทั้งประเทศ(ป.6) เพียงแค่ 42.15 % ถ้าจะเรียงลำดับจากต่ำสุดไปหาสูง คือ อังกฤษ สังคม (ไม่น่าเชื่อ) คณิต ไทย วิทย์ (วิชาอื่นไม่จำเป็นต้องพูดถึง ไม่ต้องเน้นนักแต่ผลก็ออกมาดี)

คงยังไม่ถึงเวลาแก้ไขใช่ไหม เรา(ทุกระดับ)ห่วงชื่อเสียง หน้าตา ห่วงเก้าอี้ ห่วงเงินเดือนเงินตอบแทน มากกว่าห่วงเด็กห่วงโรงเรียนครับ จึงเป็นเช่นนี้

ถ้าจะฟังความเห็นกันบ้างก็ลองคิดดูว่าควรมีการพัฒนาการสอนของครูให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ใน 4 วิชาหลัก คือ ไทย คณิต วิทย์ อังกฤษ ทำอย่างไรให้ครูเขาจัดการเรียนการสอนอย่างมีความสุข สนุก เด็กได้ประโยชน์จริง วิชาเอกที่ควรถูกกำหนดไว้ในทุกโรงเรียนคือ ปฐมวัย อังกฤษ วิทย์ คณิต ภาษาอังกฤษจำเป็นมาก มีใครเคยถามไหมผู้สอนเขาเจอปัญหาอะไร เคยมีใครช่วยเขาไหม เมื่อมีผลออกมาต่ำก็โยนบาปให้ครู

เขตควรนำผลการทดสอบโอเน็ต (อย่างน้อยก็ภาพรวมทุกระดับ) มาเผยแพร่ รวมถึงทำให้กระบวนการทดสอบเป็นที่เชื่อถือของสังคม ถ้าจะดูคร่าว ๆ ลองดูได้ที่เว็บของโรงเรียนบ้านงิ้วงาม (ที่จริงไม่อยากบอกให้ไปดูนักเพราะอาจเป็นที่ไม่พอใจ ปกติยึดถือเสมอว่า"ทำดีแต่อย่าเด๋น จะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน" โรงเรียนนี้ไม่เด่น ไม่ดังสักเรื่อง แต่ให้ความสำคัญกับเด็กทุกๆ คน ซึ่งเชื่อว่าถูกทางแล้ว)

ถึงเวลาหรือยังที่จะจัดการศึกษาเพื่อประโยชน์ของเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง คือเด็กครับเด็ก

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฝากถึงคุณครูคนใหม่ (3)

3. ทำใจและเตรียมใจรับสภาพ


สภาพโรงเรียนแต่ละแห่งมีคามแตกต่างกัน ตั้งแต่ระยะทาง สภาพเส้นทาง ขนาดของชุมชน สภาพเศรษฐกิจ ชื่อของโรงเรียนก็แตกต่างกันแล้ว ยิ่งเมื่อย่างก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนด้วยแล้วยิ่งต้องเตรียมตัวเตรียมใจกับสภาพทั่วไปไม่ว่าจะเป็นอาคารสิ่งก่อสร้าง สนาม อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ โต้ะเก้าอี้ทั้งของครูและนักเรียน ห้องสมุด ห้องวิทย์ ห้องคอม ฯลฯ ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นจองจริงที่เราต้องสัมผัสคลุกคลีหรือดำเนินชีวิตอยู่กับมัน



เธอคาดหวังว่าจะเจอสิ่งเหล่านี้ในสภาพอย่างไร บางครั้งถ้าใจไม่แข็งพอ ไม่อึดพอ ไม่อดทน บริบทเหล่านี้ก็ทำเอาอุดมการณ์ของเธอหลุดลอยไปได้เหมือนกัน ทำใจไว้ก่อนจะได้ไม่ผิดหวัง จะมีสักกี่คนที่โชคดีได้บรรจุครั้งแรกในโรงเรียนที่เพียบพร้อมทุกเรื่อง เพราะตำแหน่งที่ว่างเหลือไว้ให้เธอนั้นควรจะเป็นอย่างไรก็ต้องแล้วแต่โชค ดวงชะตาและวาสนาแล้วละ แต่อย่างไรก็ตามทุกแห่งมีเด็กๆ รอเธออยู่แน่นอน คงต้องคิดไว้เสมอว่าถ้ามีโอกาสฉันจะพัฒนา ปรับปรุงหรือเติมเต็มสิ่งเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ต่อเด็กๆ ให้จงได้ และด้วยความฉลาดและความสามารถของฉันจะต้องไม่ทำให้ใครมองว่า ฉันทำดีเพื่อเอาหน้า สร้างภาพ จะต้องให้ทุกคนเข้าใจให้ได้ว่าฉันจะทำเพื่อเด็กๆ ด้วยความบริสุทธิใจ ฉันจะอดทน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีอิทธิพลต่อเธอเท่ากับสิ่งที่ครูจะพูดต่อไปนี้



บุคคลหรือบุคคลากรในโรงเรียนต่างหากที่เธอต้องตระหนัก ตั้งแต่ ผอ. คณะครู นักการ ฯ และบางแห่งอาจมีตำแหน่งอื่นๆ อีก แต่ละคนแตกต่างกัน เธอเข้าไปเพียงลำพัง เขาเหล่านั้นตั้งป้อมรอเธออยู่แล้วช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็รู้จักเธอ แต่เธอคงต้องใช้เวลาพอควรกว่าจะรู้และเข้าใจเขาทั้งหมด และที่แน่ๆ สิ่งที่เธอเห็นอาจเป็นเพียงภาพลวงตา ตัวตนที่แท้จริงของเขาเหล่านั้นใช่ว่าจะเห็นกันได้โดยง่าย บางแห่งอาจมีกลุ่ม ก๊ก แก๊ง ก๊วน ที่ต้องพยายามดึงเธอเข้าไปเป็นพวกเพื่อประโยชน์อะไรบางอย่าง ข้อนี้เธอต้องระวังให้จงหนัก ปรับตัวให้ได้เพื่อความอยู่รอดอย่างปลอดภัย ต้องใช้ทั้งความฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ ความแกร่ง ความอดทนและอื่นๆ สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการที่เธอต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาในพริบตา ไม่ใช่ลูกแหง่อีกต่อไป เธอต้องทำเพื่อคนอื่นโดยเฉพาะเพื่อเด็ก จากที่เคยมีพ่อแม่ดูแลให้ เธอเตรียมใจเรื่องนี้หรือยัง



กับงานที่ได้รับมอบหมาย เธอจะได้พิสูจน์เสียทีว่า จะใช้ทฤษฎีไหน ตำราเล่มใด หรือจะอ้างอิงสิ่งใดเพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพ อยากจะบอกว่าเส้นทางชีวิตที่เธอกำลังก้าวย่างเข้ามานี้มันยิ่งใหญ่ยิ่งนัก เกินกว่าที่สถาบันใดจะประสิทธิ์ประสาทวิทยายุทธให้เธอจนเพียงพอแก่การฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จได้โดยง่าย เว้นไว้แต่ความรู้ความกระจ่างชัดในวิชาเอกของเธอเท่านั้นที่พอจะยังประโยชน์แก่เธอได้ นอกนั้นแล้วเธอต้องศึกษาเอาเองจากมหาวิทยาลัยชีวิตที่พวกเธอแก่งแย่งกันเข้ามานับแต่นี้ไป สิ่งที่ครูบอกกล่าวมาและจะบอกต่อๆ ไปอีกหลายประการนั้นรวมๆ แล้วยังไม่ได้สักหนึ่งในล้านที่เธอจะพบเจอ แต่ก็หวังว่าคงดีกว่าที่จะปล่อยให้เธอไปค้นพบด้วยตัวเองเสียทั้งหมด



ครูจะยินดีมากถ้าเพียงแค่ได้มีส่วนสักเล็กน้อยในการช่วยสร้างให้เกิดครูดีๆ สักคน เพราะนั่นมันมีประโยชน์มากกว่าที่ครูได้สร้างเด็กดีๆ สักร้อยคน อันนี้เธอคงเข้าใจ เพราะครูดีๆ หนึ่งคนนั้นจะสามารถไปสร้างเด็กดีๆ ได้อีกมากมาย จงหมั่นหาข้อมูลจากหลากหลายบุคคลที่เกี่ยวข้องกับอาชีพนี้ แล้วนำมาวิเคราะห์สังเคราะห์หรืออะไรก็ตามทีให้เป็นประโยชน์กับเธอให้จงได้ แต่ไม่ต้องวิตกจริตจนเกินเหตุ ความสำเร็จรอเธออยู่เบื้องหน้าทุกคนสุดแต่ใครจะไปถึงหรือไม่ ช้าหรือเร็วเธอมีส่วนสำคัญยิ่งที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทาง ชี้ชะตาชีวิตของตนเองเสียตั้งแต่เริ่มต้นนี้

ขอให้โชคดี

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฝากถึงคุณครูคนใหม่ (2)

2. ฝากเรื่องการใช้ภาษาไทย




เราควรภูมิใจในความเป็นไทย เรามีชาติไทยที่ยิ่งใหญ่ ประวัติศาสตร์ตลอดจนวิวัฒนาการด้านต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อเรารู้ เราเข้าใจ เราทราบซึ้ง เราภาคภูมิใจ แล้วจะเก็บความรู้สึกเหล่านี้ให้อยู่เพียงแค่ตัวเราเท่านั้นหรือ เราจะโทษเด็กรุ่นใหม่ว่าไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องเหล่านี้ คงไม่ได้แล้ว ถ้าเราไม่ได้ถ่ายทอดพร่ำสอนและกระทำบ่อยครั้งจนเขารู้สึกและเข้าใจได้ดีเช่นเดียวกับเรา



เรื่องแรกที่น่าห่วงคือ การพูดภาษาไทยอย่างถูกต้อง ชัดเจน เป็นธรรมชาติด้วยความภาคภูมิใจสิ่งที่พบแล้วว่าเป็นปัญหาจริงเช่น



- คนที่พูดไม่ชัด[โดยเฉพาะคำควบกล้ำ "ร" และ "ล"]ก็จะอ่านผิดโดยไม่ออกเสียงควบกล้ำด้วย แล้วยังมีความเป็นไปได้ที่จะเขียนผิดด้วย คือเขียนโดยไม่ควบกล้ำ(ในคำที่ต้องกล้ำ)

- คนที่พูดไม่ชัดไม่ถูกต้องจนเคยชิน ก็จะไม่เห็นถึงความผิดพลาดแบบนั้นๆ ของคนอื่นด้วย(คล้ายๆ คนสูบบุหรี่ ซึ่งจะไม่รู้สึกว่ากลิ่นบุหรี่นั้นเหม็นมาก - เอ เกี่ยวกันไหมเอ่ย) คนเป็นครูถ้าไม่เห็นความผิดพลาดของศิษย์ก็จะไม่แก้ไข เช่นเด็กพูดว่า "โรงเรียนของเราควรมีการปับปุงและเปี่ยนแปงในเรื่องต่างๆ" ครูที่พูดไม่ชัดจนเป็นปกติก็จะไม่เห็นความผิดพลาดก็จะไม่แก้ไข (แต่บางคนรู้แต่ก็ไม่ใส่ใจที่จะแก้ไข ขอเธออย่าเป็นครูแบบนี้เลย)



ครูให้ความสำคัญสูงมากกับการออกเสียงคำควบกล้ำ ถ้าเธอจะเป็นครูที่รู้สึกภาคภูมิใจตัวเองสักข้อหนึ่งและเป็นข้อแรก เธอควรพูดคำว่า "ครู" ให้ชัดเจน ไม่ใช่พูดว่า "ฉันเป็นคู" ใครก็ตามที่พูดคำนี้ไม่ชัดก็มักจะพูดคำควบกล้ำอื่นๆ ไม่ชัดด้วย ต้องไม่อายที่เป็นคนพูดชัด ไม่ต้องแคร์ว่าใครบางคนจะบอกว่ากระแดะ ดัดจริต หรืออะไรก็ตามที แต่เราควรยินดีกับตัวเองที่เราพูดหรืออ่านภาษาไทยได้ชัดเจน ถูกต้อง



การออกเสียงคำควบกล้ำ "ร" และ "ล" นั้นแตกต่างกัน แต่สำหรับบุคคลทั่วไปแล้ว การอ่าน การพูดคำกล้ำ "ร" นั้น ไม่จำเป็นต้อง"หันลิ้น" ให้มากจนเกินความพอดี แต่ต้องออกเสียงกล้ำให้ได้ในทุกคำที่กล้ำ



ผู้ที่จำเป็นต้องออกเสียงให้ชัดเจนมากและเป็นแบบอย่างแก่เราได้ดีคือ ผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์และวิทยุ (คลื่นหลัก วิทยุชุมชนส่วนใหญ่ไม่ชัดเพราะไม่ผ่านการสอบและไม่เคร่งครัด) โดยเฉพาะข่าวในพระราชสำนัก ลองสังเกตดู



ขอฝากไว้ด้วยซึ่งคงไม่ยากเกินไป ถ้าอยากจะหาประสบการณ์ขอแนะนำให้สอบบัตรผู้ประกาศของกรมประชาสัมพันธ์ ดู จะพัฒนาตัวเองได้ดีกว่าวิธีใดๆ และอาจเป็นช่องทางหารายได้เสริมหรือหาประสบการณ์ด้านอื่นๆ ได้ด้วย เสียค่าสมัครเพียง 100 บาท สอบได้ถึง 5 ครั้ง ถ้ามีความมุ่งมั่นจริง ๆ ต้องสอบได้ ลองไปอ่านประสบการณ์ของครูเรื่อง"สอบผู้ประกาศ" ในเว็บบล็อกดูก่อนก็ได้ ถ้าสนใจและยินดีให้คำแนะนำด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

[url]http://www.kittikullife.blogspot.com/[/url]



ถ้าครูมีบัตรผู้ประกาศเด็กจะพูดได้ชัดเจนแน่นอน และอยากแนะนำให้ศึกษานิเทศน์ได้มีบัตรนี้จะแนะนำครูได้ดียิ่งขึ้น

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การตรวจสุขภาพโดยการ อัลตราซาวด์

วันนี้ได้ไปตรวจร่างกายด้วยการ อัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนล่าง (U/S Lower Abdomen) ดังนี้
1. Liver               ปกติ  (ตับ)
2. Spleen            ปกติ  (ม้าม)
3. Pancreases     ปกติ  (ตับอ่อน)
4. Kidney           ปกติ  (ไต)
5. Gallbladder     ปกติ  (ถุงน้ำดี)
Impression     Negative study

มวลกระดูก ปกติ 63.25 %  T - score  1.53
ต่อมลูกหมาก ปกติ

โล่งอก เสียเงินไป 1,300.- แต่ก็เบิกได้ทั้งหมด นี่ก็เป็นข้อดีของการเป็นข้าราชการ
บริษัทผู้ตรวจคือ บริษัท แมมโมแกรมเคลื่อนที่ จำกัด มาบริการที่ โรงพยาบาลสว่างอารมณ์

ฝากคุณครูคนใหม่ โดย ส.กิตติกุล

ข้อมูลสรุปนี้ไม่พร้อมใช้งาน โปรด คลิกที่นี่เพื่อดูโพสต์